Bollinger Bands เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนของตลาด Forex และตลาดอื่นๆ โดยประกอบด้วยเส้นกลาง (middle band) ซึ่งเป็นเส้นเฉลี่ยเลื่อนของราคา และเส้นบน-ล่าง (upper band-lower band) ซึ่งคำนวณจากการเบี่ยงเบนราคาเฉลี่ยเลื่อน (standard deviation) ของราคา โดยมีค่าเริ่มต้นที่ 2 ค่าเท่ากัน โดยทั่วไปจะใช้ Bollinger Bands เพื่อช่วยวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแนวโน้มของราคา และเช็คว่าราคาวิ่งไปในแนวทางไหน
Bollinger Bands บอกอะไร?
Bollinger Bands บอกอะไรได้บ้างนั้น คำตอบของคำถามนี้นับว่าหลากหลายมาก แต่การตีความขั้นพื้นฐานมักใช้เพื่อสังเกต "การกลับตัวของราคา" หรือที่เรียกว่า Reversal โดยจะใช้กรอบ Band เป็นตัววัด ซึ่งแนวคิดของเทคนิคนี้ จะมองว่า ราคาไม่ควรขยับออกห่างจากค่าเฉลี่ยมากเกินไป และควรจะกลับตัวในไม่ช้า (Mean Reversion) ดังนั้น ราคาควรจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง เมื่อราคาปะทะเส้น Band
เส้น Band จะเป็นเส้นสำหรับการสังเกตว่า ราคาได้เกิดพฤติกรรมอะไรผิดปกติขึ้นมาหรือไม่ เช่น เมื่อราคาเข้ามาปะทะเส้น Band แล้วอัตราเร่งของการเคลื่อนไหวของราคาลดลง เทรดเดอร์หลายคนจะใช้จังหวะนี้ในการเทรดสวนกลับมา
ตามหลักสถิติ : Band ด้านบน คือ จุดที่ราคาแพงเกินไป
หากราคาปะทะ Band บน แล้วเกิดการชะลอแรงของราคา มักเป็นสัญญาณ Sell
ตามหลักสถิติ : Band ด้านล่าง คือ จุดที่ราคาถูกเกินไป
หากราคาปะทะ Band ล่าง แล้วเกิดการชะลอแรงของราคา มักเป็นสัญญาณ Buy
Bollinger Bands ในตลาด Forex ส่วนใหญ่จะตั้งค่าไว้ที่ (20,2) ซึ่งหมายถึง Simple Moving Average 20 แท่งเทียน และคำนวณค่า SD ที่ระดับที่ 2 (โปรดศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณค่า SD ในสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์โดยตรง) ตัว Band ที่สร้างจากค่า SD นอกจากจะใช้สังเกตการกลับตัวของราคาได้แล้ว มันยังสามารถบ่งบอกสภาวะตลาดโดยรวมได้
กรอบ Band คือตัวแทนของความผันผวน หาก Band มีการขยายกรอบไปกว้าง ก็หมายถึงสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หาก Band บีบตัวแคบ ก็ย่อมหมายถึง ตลาดมีความผันผวนน้อย หรือมีการเคลื่อนไหวที่ไม่รุนแรง ซึ่งการเข้าใจเรื่องความผันผวน จะทำให้เราสามารถเทรดตามแนวโน้มได้ดียิ่งขึ้น ดังข้อสรุปต่อไปนี้
หาก Band ขยายกว้าง : ผันผวนมาก
โอกาสในการ Breakout ในทิศทางเดิม จะมีน้อยลง เช่น หากราคาเป็นขาขึ้น และพักตัวแบบมี Band ที่กว้าง (กรอบราคาที่พักตัวมีความผันผวนสูง) โอกาสในการ Breakout ในทิศขาขึ้น จะทำได้ยากมาก เพราะต้องใช้กำลังมากในการดันราคาให้ผ่านกรอบพักตัว
ดังนั้น ราคาจะ Pullback กลับมาได้ง่ายกว่า
เทรดเดอร์มักใช้เทคนิค Scalping เทรดสวนกลับมาบริเวณกรอบ Band
หาก Band บีบตัวแคบ : ผันผวนน้อย
โอกาสในการ Breakout ในทิศทางเดิม จะมีเพิ่มขึ้น เพราะกรอบ Band ที่บีบตัวแคบ จะหมายถึง การพักตัวที่มีความผันผวนน้อย ซึ่งในทางเทคนิค คือลักษณะของการพักตัวที่มีความเสถียร และง่ายต่อการ Breakout ตามแนวโน้มเดิมไป
เทรดเดอร์อาจเพิ่มสถานะในทิศทางเดิม และล็อคกำไรไว้ส่วนหนึ่ง เมื่อราคาสามารถ Breakout ออกไปได้จริงๆ
วิธีใช้ Bollinger Bands ที่มีประสิทธิภาพคือต้องเข้าใจลักษณะพื้นฐานของสินค้านั้นๆ เช่น ถ้าเป็นนักลงทุนที่นิยมเล่นหุ้นมากกว่าสินค้าอื่นๆ มักจะมีโอกาสได้ใช้เทคนิค "Band บีบตัวแคบ" มากกว่า หุ้นมหาชนหลายตัวมักเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มทีละหลายๆ เดือน ดังนั้น นักลงทุนมักรอจังหวะเข้าไปสะสมหุ้นในตอนที่เกิดการพักตัวของราคา และกรอบ Band บีบตัวแคบ
แต่ถ้าหากเป็นเทรดเดอร์ที่นิยมเทรดสินค้าที่มีรอบการเทรดถี่ๆ หรือมีความผันผวนสูง ซึ่งท่านสามารถดูตัวอย่างได้จากพวกกราฟราคาทอง หรือค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ เทรดเดอร์จะนิยมใช้แนวคิดเรื่อง "Band ขยายกว้าง" มากกว่า เทคนิคหลักๆ ได้แก่ การเทรด Scalping สวนทางกลับมา เมื่อราคาปะทะเส้น Band เป็นต้น
เทรดสวน เมื่อแท่งเทียนชนกรอบ Band
ทั้งหมดข้างต้น คือ แนวคิดพื้นฐานของวิธีการใช้ Bollinger Bands ในตลาดต่างๆ ซึ่งสำหรับนักเทรด Forex จะนิยมใช้ Indicator ตัวนี้ในการ Scalping เมื่อราคาปะทะกรอบ Band หรือเทคนิคในเรื่อง "Band ขยายกว้าง" นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การเทรดแบบ Scalping จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนพอสมควร ดังนั้น สำหรับมือใหม่ควรจะทดลองใน Demo Account ก่อนว่า เทคนิคนั้นๆ สามารถใช้ได้จริงๆ ในตลาด